‘โตโน่ ภาคิน’ เปิดใจในรายการคุยแซ่บ Show ทางช่อง One 31 เล่าที่มาจากศิลปินสู่นักฟุตบอลอาชีพ และประธานสโมสรฟุตบอล โดยจุดเริ่มต้น คือ ช่วงโควิด ฟิตเนสปิดหมด แต่ถ่ายละครและเขาต้องการให้มีกล้ามชัดๆ จึงไปปรึกษากับเพื่อนที่เป็นนักฟุตบอล เขาบอกว่าฟุตบอลมันยังต้องแข่ง แล้วในสนามมันมีครบหมดเลย มันมีทั้งฟิตเนส และมีการซ้อมภายใน
ตนก็เลยไปอยู่ที่ราชบุรี ตอนเช้าเราฟิตเนส ตอนเย็นก็ไปนั่งดูทีมราชบุรีซ้อมก็เลยได้มีโอกาสไปซ้อมกับเขา และได้คุยเซ็นเป็นนักเตะอาชีพ แต่เป้าหมายจริงๆ เราไม่ได้รับเงินเดือน เราต้องการมาช่วยทีมขายเสื้อ เพราะตอนนั้นแฟนบอลไม่สามารถเข้าสนามได้ก็เลยมาช่วยหารายได้ เป็นการตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ
แล้วทำไมถึงได้เป็นประธานสโมสร เพราะผมเก่ง ตอนแรกจะเริ่มต้นเหมือนทั่วไป เหมือนสโมสรอื่นๆ เราก็มาเป็นนักเตะ เพื่อนผมเขามาเตะที่เกษตรศาสตร์ในปีนี้ แล้วบางคนใกล้จะเลิกเล่นแล้ว เราก็อยากมาซ้อมด้วยกัน ความทรงจำดีๆ ร่วมกับเพื่อน แล้วก็เหมือนเดิม อยากมาช่วยเกษตรศาสตร์ พอซ้อมไปสักพัก ในกรุ๊ปของทีมจะคุยกันว่า เงินเดือนไม่ออก เงินเดือนเลื่อน นักเตะ 30 คน สตาฟ 10 คน แล้วทีมงานอีก 50 คน
ไม่ได้เงินนาน 3 เดือน ได้มาคนละ 5,000 บาท แล้วอีกคนก็มายืมผม 2 ล้าน บอกว่าจะต้องจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะ ผมก็ถามกลับเขาไป ฟุตบอลมันไม่ได้เตะกัน 1-2 เดือนนะพี่ มันเตะกันประมาณ 8 เดือน แล้วเดือนหน้าพี่จะเอาที่ไหนมาจ่าย เขาบอกว่าผมไปหาขายที่ ผมก็เลยบอกว่ามันไม่ใช่แล้ว เราต้องพูดความจริงกับนักเตะในทีมนะ มันจะได้รู้ว่าชีวิตมันจะเจอกับอะไร
หลังจากนั้นทางบอร์ดบริหารนัดประชุมว่ากลุ่มทุนนี้ไม่ใช่แน่ๆ เราก็มาปรึกษากัน พี่โน่มาเป็นประธานให้ได้ไหม ผมรู้ว่ามันหนัก มันเป็นเรื่องใหญ่ พอมีคนยื่นข้อเสนอว่าให้เราเป็นประธานเราขอไปคิดก่อนประมาณ 1 สัปดาห์ ผมรู้ว่ามันหนักแน่ เพราะเดือนละ 2.3 ล้านบาท แล้วผมก็ยังไม่รู้เลยว่าเงินที่ให้เราบริหารมีเท่าไร บริษัทเขาบอกเราว่ามีบางส่วน พอเข้าไปดูจริงๆ เหลือ 859 บาท
ตอนที่เรารู้ ก็นึกถึงหน้าเพื่อนเราในทีม บางคนผมไม่ได้สนิทกับเขาหรอก แต่เราก็รู้ว่าเขาก็มีภาระที่ต้องรับผิดชอบกัน มีข้อความบางคนส่งมาว่า พี่โน่ครับ ลูกผมจะไม่ได้สอบ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม นี่แหละเป็นเหตุผล เรามีแค่ 2 ทางให้เลือก คือ จะช่วยเขา หรือจะทิ้งเขาทั้งหมด
ก่อนที่จะรับเป็นประธานตอนนั้นปรึกษาหลวงพ่อ ที่ผมไปแช่ว่าน ก็มีหนึ่งเงื่อนไขที่รับเป็นประธานสโมสร คือ เขาต้องให้สิทธิ์บริหารผม 100% ผมต้องเป็นคนตัดสินใจ ว่าเงินทุกบาทที่เรามี หรือที่เราหามาได้มันจะถูกเอาไปใช้จ่ายแบบไหน อะไรที่มากเกินไป หรืออะไรที่เยอะผิดปกติ เราก็ต้องตัดออก และไม่ใช่นักฟุตบอลที่โดนลดเงินเดือน ทีมหัวหน้าทุกคนก็ต้องโดนลดเหมือนกัน แม้กระทั่งเด็กเก็บบอลก็โดนลดเหมือนกันเพื่อส่วนรวม ทุกคนต้องช่วยกันมันถึงจะรอด
ผมว่าผมไม่ได้ดีกว่าคนอื่นด้วย อย่างที่บอกไปมันมีให้ผมเลือกแค่สองอัน ช่วยกับทิ้ง ถ้าผมทิ้งลูกเพื่อนผมจะเรียนยังไง แม่ผมก็เคยเป็นหนี้ 18 ล้าน พ่อผมตาย ผมรู้ว่ามันลำบากกับการที่เราต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมจะช่วยได้กี่ % แต่เราลองสู้ด้วยกันก่อน
ในเมื่อมันไม่มีทางให้เราถอย ถ้าเรายอมแพ้ก็คือยุบทีมไป อันนี้ผมพูดถึงทีมนั้น 50 ครอบครัว ผมยังไม่ได้พูดถึง พ่อค้า แม่ค้า ที่เขาขายของรอบสนามฟุตบอล ถ้าเกิดทีมนี้โดนยุบ ใครบ้างที่ได้รับผลกระทบ ถ้าเราไม่สู้ ถ้าเราไม่ลองดูสักตั้ง แต่สุดท้ายถ้าเราสู้แล้วเราแพ้ก็ไม่เป็นไร เราทำเต็มที่แล้ว