ผัวเมียขอความเป็นธรรม โดนแก๊งคอลฯ หลอกไปสแกนหน้า ใช้อุบายหนีมาได้ สุดท้ายถูกหมายจับเพียบ

Author:

ผัวเมียขอความเป็นธรรม โดนแก๊งคอลฯ หลอกไปสแกนหน้า ใช้อุบายหนีมาได้ สุดท้ายถูกหมายจับเพียบ ทุกข์หนัก พ่อต้องหอบเสื้อผ้าหนี

วันที่ 30 ก.ย.67 น.ส.ศิขรินทร์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี และ นายอภินันทร์ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี สองสามีภรรยา ชาว ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ร้องเรียนสื่อมวลชนเพื่อขอความเป็นธรรมผ่านถึงรัฐบาล และอยากจะแจ้งเตือนคนไทยที่อาจจะตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์

น.ส.ศิขรินทร์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ย.66 ได้มีเพื่อนรุ่นพี่คนบ้านเดียวกันชักชวนให้ไปทำงานในบ่อนที่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้เงินเดือนๆละ 15,000 บาท จึงตัดสินใจไปกับสามีรวมถึงพ่อซึ่งอายุ 58 ปี ไปด้วยกันรวม 3 คน เพราะอยู่ในเมืองไทยหากินลำบาก

เมื่อไปถึงด่านชายแดนท่าข้าม จ.สระแก้ว มีคนมาเพิ่มอีก 1 คนรวมเป็น 4 คน มีคนพาลงเรือข้ามฟากเมื่อไปถึงฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน มีคนใส่ชุดคล้ายทหารมารับหลายคน รู้สึกไม่สู้ดีจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายภาพในรถเอาไว้

เมื่อไปถึงที่ทำงานพบเป็นอาคารหลายชั้น พอเข้าไปพบว่าไม่ใช่บ่อน แต่เป็นอาคารหลอกลวง จึงพยายามแอบถ่ายภาพไว้เป็นระยะแล้วส่งให้เฟซบุ๊กของแม่ที่บุรีรัมย์ วันแรกได้พากลุ่มตน 4 คนไปขังไว้

วันรุ่งขึ้นมีเจ้าหน้าที่มายึดเอาโทรศัพท์ บัตรประจำตัวประชาชน และยึดเอาสมุดบัญชีที่เพิ่งเปิดมาใหม่ตามระเบียบก่อนจะเข้าไปทำงานว่าทุกคนจะต้องเปิดบัญชีธนาคารตามที่ระบุเอาไว้

หลังจากนั้นจะมีชายฉกรรจ์ มาบังคับให้พวกตนสแกนใบหน้ากับแอพฯ ธนาคารทุกวัน หากไม่ทำจะโดนกระบองไฟฟ้าทุบตี จึงจำเป็นต้องสแกนใบหน้า จึงรู้ว่าโดนหลอกและพยายามหาวิธีหนีออกมาให้ได้ ในอาคารนี้มีคนไทยมากกว่า 50 คนแบ่งกันเป็นแผนก ส่วนใหญ่โดนหลอกมาทั้งสิ้น ชั้นล่างจะเป็นสถานที่ขายบริการและส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทย แต่ไม่รู้ว่าถูกบังคับหรือไม่

น.ส.ศิขรินทร์ กล่าวอีกว่า จากนั้นจึงพยายามหาวิธีไปตีสนิทกับคนไทยอีกแผนกหนึ่ง ว่าอยากจะมาทำงานคอลเซ็นเตอร์ แต่จะขอกลับมาทำพาสปอร์ตที่เมืองไทยแล้วจะกลับมาทำงาน จนนายใหญ่ซึ่งเป็นคนจีนอนุญาตให้กลับมาได้

วันที่ 30 ก.ย.ตนกับสามีและพ่อ จึงมีโอกาสที่จะกลับเมืองไทยโดยมีคนของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาส่งที่ชายแดน สรุปมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ 5 วัน แต่ถูกยึดโทรศัพท์ไปเกรงว่าเราจะไปถ่ายภาพเอาไว้ แต่หารู้ไม่ว่าได้ส่งเข้าเฟซบุ๊กแล้ว

และเมื่อวันที่ 23 ก.ย.ที่ผ่านมา สามีโดนหมายเรียกคดีฉ้อโกงอยู่ที่กรุงเทพฯ ผู้เสียหายสูญเงินกว่า 500,000 บาท ระหว่างที่ตนนั่งรถไฟจะไปพบพนักงานสอบสวนที่กรุงเทพฯ ตนถูกตำรวจนำหมายจาก สภ.เมืองกำแพงเพชร มาควบคุมตัวอีก จึงเดินทางไปพบตำรวจ พบว่ามีผู้เสียหายสูญเงิน 48,000 บาท ซึ่งตนก็ไปให้การกับตำรวจไปตามความจริง

น.ส.ศิขรินทร์ เล่าอีกว่า ตอนนี้ครอบครัวไม่มีทางออก ไม่รู้ว่าจะโดนอีกกี่หมาย ส่วนพ่อยังไม่โดนหมายจากตำรวจ ด้วยความกลัวพ่อได้หอบเสื้อผ้าหนีออกจากบ้านไป ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนติดต่อไม่ได้แล้ว

จึงอยากจะให้รัฐบาลหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือหากจะพาตนไปชี้จุดที่ตั้งตนก็พร้อม ตอนนี้ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว มีคนโทรศัพท์มาขู่ว่าไม่ให้แจ้งความ แต่ตนได้แจ้งแล้ว มีคนไทยอีกเป็นจำนวนมากที่อยากกลับบ้าน บางคนอยู่หลายปีออกมาไม่ได้ และอยากจะฝากถึงคนที่คิดจะไปทำงานต่างประเทศ โดยเฉพาะไปทำงานในบ่อน ให้ระวังหรือไม่ควรจะไปดีที่สุด เกรงว่าจะโดนกระทำแบบตน สงสารลูกชายที่อายุเพียง 7 ขวบ หากพ่อกับแม่ถูกจำคุกแล้วจะอยู่กับใคร เพราะหากจะให้หาเงินมาชำระหนี้สินตามกฎหมายแล้ว ไม่มีความสามารถชำระได้แค่ขึ้นรถไปพบพนักงานสอบสวนก็แย่แล้ว… อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9438098

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *