โซเชียลจีนถกสนั่น ขบวนการอุ้มบุญระบาดสวนทางอัตราการเกิดดิ่งเหว
โซเชียลจีนถกสนั่น – วันที่ 14 พ.ย. รอยเตอร์รายงานว่า บรรดาผู้ใช้สื่อโซเชียลในประเทศจีนวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนกรณีคดีสาววัย 22 ปี ถูกล่อลวงจนตกเป็นเหยื่อขบวนการอุ้มบุญ ท่ามกลางอัตราการเกิดของเด็กแรกเกิดที่กำลังดิ่งเหว
กระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังนางสางจาง จิง อายุ 22 ปี เปิดเผยเรื่องราวชีวิตของตัวเองผ่านแม็กกาซีน ฟีนิกซ์ ทีวี ว่าเคยเดือดร้อนเรื่องรายได้จนต้องบริจาคไข่ตัวเองเพื่อแลกเงินและต่อมายอมปล่อยมดลูกตัวเองให้เช่าแลกเงินราว 145,000 บาท
น.ส.จาง ระบุว่า หากตั้งครรภ์แล้วสามารถคลอดเด็กออกมาได้อย่างปลอดภัยก็จะได้เงินอีกถึง 1.1 ล้านบาท แต่หลังผ่านไปเพียง 5 เดือน ตนก็เกิดอาการแพ้ท้องอย่างรุนแรงจนเกิดอาการแทรกซ้อนจนต้องไปหาแพทย์เพื่อทำแท้ง
เรื่องราวของน.ส.จาง มีผู้ใช้โซเชียลจีน “เว่ยโป๋” เข้ามาอ่านกว่า 86 ล้านครั้ง และมีผู้แสดงความคิดเห็นอย่างน้อย 1 หมื่นครั้ง พร้อม #สาวเกิดปีค.ศ.2000เศษแฉแหลก-เผยชีวิตอุ้มบุญจนแท้ง#
รายงานระบุว่า การใช้มดลูกของหญิงอื่นเพื่อช่วยตั้งครรภ์แทน หรืออุ้มบุญ ถือว่าผิดกฎหมายในจีน และทางการจีนเคยประกาศจะเดินหน้าปราบปราบขบวนการที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้จ้างและผู้รับจ้างด้วย ไม่ว่าจะเป็นการค้าสเปิร์ม ไข่ และการรับตั้งครรภ์แทน
การแพร่ระบาดของขบวนการอุ้มบุญยังเกิดขึ้นท่ามกลางสภาพปัญหาประชากรของจีนที่มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากอัตราการเกิดของเด็กแรกเกิดลดลงด้วย เนื่องจากหนุ่มสาววัยเจริญพันธุ์และคู่รักจีนจำนวนมากชะลอการมีบุตร หรือถึงขั้นตัดสินใจจะไม่มีบุตรมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่งผลให้ประชากรจีนลดลงติดต่อกันมาแล้วถึง 2 ปี (2565 และ 2566) ทำให้ทั้งกรุงปักกิ่งและหน่วยงานกลางของรัฐบาลต่างกระเสือกกระสนระดมทรัพยากรมาสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมาะต่อการมีลูกเพื่อส่งเสริมให้คนวัยทำงานและหนุ่มสาวรุ่นใหม่หันมามีลูกกันมากขึ้น
ด้านเสียงวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ค่อนไปทางต่อต้านไม่ให้การตั้งครรภ์แทนกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย เนื่องจากเกรงว่าจะก่อให้เกิดการแข่งขันเชิงพาณิชย์จนกดค่าตัวผู้รับฝากอุ้มบุญยิ่งเท่ากับเป็นการลดค่าของผู้หญิงลง
ผู้แสดงความคิดเห็นรายหนึ่ง ระบุว่า จะไม่มีผู้หญิงคนไหนหนีเรื่องอุ้มบุญพ้น และอีกคนหนึ่งระบุว่า หากเรื่องพวกนี้ถูกกฎหมายค่าจ้างก็จะยิ่งถูกลงแล้วผู้หญิงก็จะเป็นเพียงสินค้าเชิงพาณิชย์
เรื่องราวของน.ส.จาง ทำให้ชาวจีนเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการปราบปรามขบวนการดังกล่าวให้เฉียบขาดและรวดเร็วขึ้น โดยบางคนหวาดผวาว่า หากปล่อยให้ธุรกิจอุ้มบุญเติบโตในตลาดมืดก็จะลามไปถึงธุรกิจค้าอวัยวะมนุษย์ที่จะกลายเป็นสิ่งปกติไปด้วย
“ชีวิตไม่ควรนำมาเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์” คอมเมนต์หนึ่งระบุ และว่า “หากเรื่องนี้ลุกลามไปถึงธุรกิจค่าอวัยวะคน มันก็จะยิ่งดำมืดลงไปอีก ผู้หญิงจะไม่มีอนาคตหลงเหลือ”
การเปิดเผยล่าสุดของน.ส.จาง ยังเกิดขึ้นต่อจากกรณีของหญิงวัย 28 ปี เพียงไม่กี่สัปดาห์ ที่นครเฉิงตู มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ที่ถูกเอเยนซี่ธุรกิจอุ้มบุญทอดทิ้งหลังรับจ้างอุ้มบุญจนตั้งครรภ์ สร้างความตกตะลึงให้กับสังคมถึงความเหิมเกริมของขบวนการดังกล่าวในจีน